Pages

Saturday, June 19, 2010

แย้งประเด็น “สนธิ ลิ้มทองกุลพูดถึงเรื่องยึดดาวเทียม”

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย. 53, 23:29 น.) ทาง ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ได้เสนอข้อข่าวจากบทสัมภาษณ์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิไตย (พธม.) โดยมีหัวข้อข่าวว่า "สนธิ"เสนอรัฐงัดข้อหา"หนุนก่อการร้าย"บีบเทมาเส็กคืน"ไทยคม" ซึ่งโดยเนื้อหากล่าวโดยสรุปคือนายสนธิเสนอให้รัฐยกเลิกสัมปทานโครงการดาวเทียมไทยคม และยึดดาวเทียมคืนจากเทมาเส็กโดยไม่ต้องเสียเงิน ผมจะไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องยึดคืนหรือไม่ยึดคืน หรือจะซื้อดาวเทียมคืน เพราะไม่มีความรู้ทางด้านนี้ แต่ที่ผมจะนำเสนอคือผมว่านายสนธิกำลังโกหกชาวพธม.และคนไทยอยู่ จากข้อความดังต่อไปนี้

image image

ก่อนอื่นผมขอออกตัวว่าไม่ได้ทำงานในสายโทรคมนาคมแต่อย่างใด สิ่งที่ผมเขียนอาจจะผิดก็ได้ ผมแค่เอาหลักฐานที่หาเจอจากอินเทอร์เน็ตมาเทียบให้ดูว่าคำพูดนายสนธิเป็นจริงหรือไม่ ผมจะแยกประเด็นที่จะแย้งเป็น 2 ข้อ ดังนี้

  1. ชื่อของดาวเทียม นายสนธิพยายามชี้แจงว่าดาวเทียมไอพีสตาร์กับดาวเทียมไทยคม 4 นั้นเป็นคนละดวงกัน ซึ่งไอพีสตาร์นั้นถูกยิงขึ้นไปเพื่อ “เลี่ยง” การไม่ยิงดาวเทียมไทยคม 4 แต่จากแหล่งข้อมูลทั้งของ วิกิพีเดีย,และ เว็บดาวเทียมไอพีสตาร์ จะพบว่าดาวเทียมไอพีสตาร์นั้นก็คือไทยคม 4 นั้นเอง (ผมเข้าใจเอาเองว่าไม่เรียกไทยคม 4 เพราะไอพีสตาร์นั้นเป็นดาวเทียมสำหรับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงโดยเฉพาะ ต่างจากไทยคม 1, 2, 3 และ 5 ซึ่งเป็นดาวเทียมที่ใช้งานในการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์)
  2. ตำแหน่งของดาวเทียม นายสนธิบอกว่าวงโคจรดาวเทียมของไทยอยู่ที่ตำแหน่ง 50.5 องศาตะวันออก (ซึ่งตำแหน่งนี้เคยถูกใช้โดยดาวเทียมไทยคม 3) แถมอ้างว่าไอพีสตาร์ซึ่งไม่ได้อยู่ในวงโคจรนี้เป็น “ดาวเทียมเถื่อน” ขอโทษนะครับ ดาวเทียมนะครับไม่ใช่หนังโป๊ จะได้ส่งขึ้นมั่วๆได้ ที่สำคัญ ตำแหน่งของไอพีสตาร์ เป็นตำแน่งเดียวกับดาวเทียมไทยคม 1 (หรือจริงๆคือดาวเทียมไทยคม 1A) ที่ตำแหน่ง 120 องศาตะวันออก และมีดาวเทียมอีก 2 ดวงที่ไม่ได้อยู่ในพิกัด 50.5 องศาตะวันออก ก็คือดาวเทียมไทยคม 2 และไทยคม 5 ซึ่งทั้งสองดวงโคจรอยู่ในตำแหน่ง 78.5 องศาตะวันออก -- สรุปว่านอกจากดาวเทียมไทยคม 3 ซึ่งปลดระวางไปแล้ว ดาวเทียมทั้ง 4 ดวงที่โคจรอยู่นี่ถือว่าเป็นดาวเทียมเถื่อนใช่ไหม??

อย่างที่ผมออกตัวไปก่อนหน้านี้ ผมไม่มีความรู้เป็นพิเศษในงานโทรคมนาคม ดังนั้นหากผมผิดก็คงต้องขอโทษคุณสนธิมาไว้ ณ ที่นี้ แต่สิ่งที่คุณนำเสนอผ่านโทรทัศน์ให้คนทั้งประเทศได้รับชมนั้นไม่ถูกต้อง ตามข้อแย้งที่ผมได้เสนอมา

ที่ผมเศร้ากว่านั้นคือ พธม.ที่สิงอยู่ในเว็บผู้จัดการออนไลน์นั้น ต่างแสดงความคิดเห็นด่าทอรัฐบาลและอดีตนายกทักษิณกันอย่างสนุกปาก โดยแสดงให้เห็นถึงการเชื่อนายสนธิอย่างหมดใจ ไม่มีคนคิดจะค้นคว้าหาข้อมูลว่านายสนธิพูดมาอย่างลอยลมนั้นเอามาจากไหน ข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับดาวเทียมผมเชื่อว่าไม่ใช่จะหาได้ง่ายดายนัก เพราะถือเป็นข้อมูลทางธุรกิจ (ยกเว้นพิกัดของดาวเทียมซึ่ง ITU เป็นผู้กำกับดูแล)

ผมยังคงยืนยันว่า ไม่ว่าคุณจะถือหางฝ่ายไหน เวลารับฟังข่าว กรุณาตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อน ไตร่ตรองด้วยสมอง แล้วค่อยเชื่อมัน ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์พาไปนะครับ

 

ศรวิษ เสียงแจ้ว

Tuesday, May 18, 2010

ขอมอบกลอนนี้ ให้คนไทยทุกคนครับ

ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย  ท่องจำได้ขึ้นใจมาช้านาน
คำเพลงขานเก่าไปดั่งวันวาน              เมื่อใดผ่านกาฬสมัยใครเล่ารู้
คนเราเกิดมาแล้วก็ตายจาก                ชาติหาพรากต้องรักษ์ไว้ให้คงอยู่
อย่าให้ขายขี้หน้าเหล่าวิญญู-              ชนสละชีพสู้เพื่อแผ่นดิน
ปรารถนาในวันนี้ของไทยหนึ่ง             พันใจตรึงจิตไว้ดั่งสายสิญจน์
ละทิ้งโกรธเกลียดแค้นให้ไหลริน         ทิ้งให้สิ้นลงสู่ถิ่นแม่คงคา
ประเทศชาติยังต้องการคนพาต่อ         อย่าได้ท้อไทยเราช่วยกันเถิดหนา
รวมพลังสร้างชาติวัฒนา                   ปวงประชาได้สงบพบร่มเย็น


ศรวิษ เสียงแจ้ว
18 พ.ค. 2553

Tuesday, March 30, 2010

มุมมองคนไทยส่วนตัวผ่านสื่อออนไลน์

ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้เพื่อนๆตามข่าวการเมืองจากแหล่งไหนกันบ้าง แต่ผมแน่ใจว่าคงมีคนไทยน้อยมากๆที่ไม่ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองเลย เหตุการณ์บ้านเมืองในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านนั้นเรียกได้ว่าร้อนระอุไม่ได้ว่างเว้น มีม็อบเกิดขึ้นหลากหลายสี (น้องสาวผมเรียก "ประท้วงเรนโบว์" -*-) แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากภาพความขัดแย้งที่ปรากฎในข่าวนั้นคือแนวความคิดของคนไทยที่แตกแยกเป็นชิ้นๆอย่างที่ผมนึกไม่ออกว่าจะมีวันกลับมาเป็นดังเดิมได้หรือไม่?

ในฐานะที่ผมเป็นคนชอบอ่านข่าว และแหล่งข่าวที่ติดตามส่วนมากก็จะผ่านเว็บข่าวทางอินเตอร์เน็ต บล็อก หรือทวิตเตอร์ ทำให้ผมรับทราบถึงจิตใจคนไทยพอสมควรจากการอ่าน "ความคิดเห็น" ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเปิดเผยจากความเสรีบนโลกไซเบอร์ ผมพบว่า....
  1. คนไทยบางส่วนนั้นเก็บกด อาจะเป็นเพราะวัฒนธรรมของเราที่สอนให้คนเอา "น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก" ทำให้เวลามีที่ระบายอย่างอินเตอร์เน็ตนั้น ข้อความหรือความรู้สึกที่ถูกระบายออกมาค่อนข้างน่ากลัวมาก
  2.  คนไทยบางส่วนใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหา และไม่มีเหตุผล ความเห็นในเว็บข่าวจำนวนไม่น้อยที่คนส่วนหนึ่งซึ่งได้ "เลือกข้าง" แล้ว มีความเชื่อหัวปักหัวปำ แถมยังไม่ฟังความเห็นของฝ่ายตรงข้าม ในขณะเดียวกันยกหางข้างตัวเองราวกับเป็นเทพมาจุติ
  3. และคนไทยอีกบางส่วนที่ปรารถนาให้ฝ่ายตรงข้ามนั้นถึงแก่กรรม ราวกับคิดว่านั้นจะเป็นหนทางที่ถูกต้องในการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย 
  4. คนไทยอีกไม่น้อยที่ไม่เห็นศักดิ์ศรีของฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับตน ใครก็ตามที่ follow ผมบนทวิตเตอร์หรือเฟซบุ้ค จะเห็นผมขึ้นข้อความลักษณะนี้บ่อย เพราะบางทีผมอ่านข้อคิดเห็นเหล่านั้นและทนไม่ได้จริงๆ ทำไมคุณถึงคิดว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นด้อยกว่า? มีความเป็นมนุษย์น้อยกว่า? เพราะหากคนไทยเหล่านี้ยังคิดเช่นนี้ ประชาธิปไตยจะไม่มีวันเกิดได้ในประเทศไทย เพราะพื้นฐานของประชาธิปไตยคือความเท่าเทียม ความเท่าเทียมที่จะเสนอข้อคิดเห็น และเรียกร้องในสิทธิของบุคคลๆหนึ่ง 
ผมอยากเน้นที่ข้อ 3 และ 4 มากเพราะเป็นข้อความที่ถ้าหากเพื่อนๆได้เข้าไปอ่านตามเว็บข่าวหรือเว็บบอร์ดการเมือง คงได้เห็นผ่านตามาเป็นแน่ ผมอยากให้คนไทยแสดงออกทางความคิดด้วยเหตุผล ด้วยภาษาที่สุภาพ ด้วยกิริยาที่เหมาะสม ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและ "โลกเสมือน" แห่งนี้ หลายคนในเฟซบุ้คผมเห็นเปลี่ยนรูปหรือเข้าร่วมกลุ่มแสวงหาสันติภาพในประเทศไทย แต่สันติภาพนั้นจะเกิดได้อย่างไรในเมื่อหลายๆคนไปเรียกฝ่ายตรงข้ามกับตนราวกับสัตว์ ไร้การศึกษา หรือเดนมนุษย์ เมื่อคุณเชื่อว่าคนกลุ่มนั้นเป็นไปตามนั้น ก็เท่ากับคุณปิดหูปิดตาตัวเอง ไม่รับรู้รับฟังความเห็นใดๆที่ถูกเสนอมาทั้งสิ้นทั้งปวง ผมถามหน่อยว่ามันถูกแล้วหรือ? การแช่งชักหักกระดูกก็มีให้เห็นมากมายตามเว็บไซต์เหล่านี้เช่นกัน จริงอยู่ว่ามันเป็นเสรีภาพของท่านๆในการที่จะแสดงความคิดเห็นบนอินเตอร์เน็ต แต่ผมก็เชื่อว่าเพราะเป้นอินเตอร์เน็ตเนี่ยแหละทุกคนจริงใส่ได้ไม่มียั้ง ข้อความที่ออกมาจากจิตใจที่ปรารถนาให้อีกฝ่ายนั้นถึงแก่ความตาย สำหรับผมแล้วมันช่างแรงกล้าที่จะพุดออกมาตรงๆ (แม้จะผ่านอินเตอร์เน็ตก็ตาม)

ผมไม่อยากให้คนไทยต้องกระมิดกระเมี้ยน เก็บความเห็นทางการเมืองไว้ในใจไม่กล้าพูดใส่กัน (เพราะกลัวจะมีเรื่อง) ดังนั้น หากทั้งสองฝ่ายพูดจากันด้วยเหตุผล ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ที่บริสุทธิ์ และให้เกียรติผู้อื่นเสมอตัวเอง ผมว่าวันนั้นเองที่ประชาธิปไตยจะเบ่งบาน

ผมเขียนจากสิ่งที่ผมได้พบเจอจากการอ่านข่าวจากแหล่งต่างๆเท่านั้น ทุกสิ่งที่ผมเขียนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นหากใครมีข้อโต้แย้งหรือสนับสนุนที่มีเหตุผล ก็สามารถเพิ่มเติมได้ครับ

Monday, February 22, 2010

Ultimate day with ultimate people: Bangkok Soidawgz's The Aftershock Hat 2010

เมื่อวันเสาร์ที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมาผมเพิ่งไปเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาที่คนไทยน้อยคนจะเคยสัมผัสกับเกมส์ "Ultimate Frisbee" ซึ่งเป็นกีฬาที่คล้ายๆกับอเมริกันฟุตบอลผสมกับบาสเกตบอล แต่ต่างกันตรงที่ไม่ได้ใช้ลูกบอลแต่ใช้ Frisbee หรือจานร่อนแทน กีฬานี้ถือว่าใหม่มากในหมู่คนไทย เพราะฉะนั้นผู้เล่นส่วนใหญ่ (ราวๆ 80%) จะเป็นชาวต่างชาติครับ ผมเองก็เคยเล่นกับเพื่อนที่มาจากอเมริกามาบ้างเลยได้ตามไปเล่นกับกลุ่มนี้แหละ กีฬานี้เป็นที่นิยมมากๆในอเมริกาครับ ซึ่งเป็นกีฬาที่ใช้ทั้งความเร็ว ไหวพริบ การควบคุม การวางแผน และความอึด เพราะเป็นเกมส์ที่ไวมาก ต้องวิ่งกันเกือบตลอดเวลา 

Friday, March 6, 2009

มองเด็กไทยผ่านเกมส์

ผมเป็นอีกหนึ่งคนที่เล่นเกมส์ค่อนข้างบ่อย ซึ่งเกมส์ที่เล่นเป็นส่วนมากคือ WarcraftIII: DotA ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่นักเล่นเกมส์ จากการเล่นเกมส์นี้มาเป็นเวลาพอควร ผมพอจะมองเกมเมอร์ไทยที่มีปัญหาออกหลายๆแบบ:

Thursday, January 8, 2009

วิเคราะห์ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.

หลังจากที่ได้ติดตามการดีเบตหลายๆครั้ง 4 ตัวเก็งสำหรับตำแหน่งผู้ว่าราชการกทม. ได้แก่ เบอร์ 2 ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร เบอร์ 8 ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล เบอร์ 10 นายยุรนันท์ ภมรมนตรี และ เบอร์ 12 นายแก้วสรร อติโพธิ บอกตามตรงว่า ฟังจากแนวนโยบาย ไม่ค่อยต่างกันมากนัก อาจจะมีในรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับนโยบายเล็กๆ แต่ส่วนมากเหมือนกัน คือ ปรับปรุงการจราจร แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ความปลอดภัยในสังคม การท่องเที่ยว ซึ่งก็เป็นปัญหาที่คนกทม.คุ้นเคยดี ไม่ต้องลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อทำการบ้านมาตอบก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อย่างจะวิเคราะห์วิจารณ์คือ "วาทศิลป์" ซึ่งเชื่อหรือไม่ว่า วาทศิลป์จะเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพลิกผันคะแนนเสียงได้มากทีเดียว
มาเริ่มวิเคราะห์เป็นรายบุคคลเลยละกัน

Monday, January 5, 2009

อคติกับสังคมไทย

ขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชียวชาญด้านมนุษยวิทยา ข้อความที่เขียนจึงเป็นเพียงข้อคิดเห็นล้วนๆ

ปัจจุบันคนไทยติดตามข่าวสารบ้านเมืองกันมากขึ้นมาก รวมถึงยังมีความรู้สึกเป็นส่วนร่วมกับเหตุการณ์ข่าวสารต่างๆมากกว่าแต่ก่อน  คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้อย่างง่ายดายและยังสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างตามใจชอบบนอินเตอร์เน็ท ผมเองก็ติดตามอ่านข่าวสารจำนวนมากในแต่ละวัน โดยส่วนมากเว็บที่เข้าไปอ่านข่าวก็คือผู้จัดการออนไลน์ (www.manager.co.th) ซึ่งเป็นเว็บของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ผมเลือกอ่านเว็บนี้เพราะมีการอัพเดทข่าวสารอย่างรวดเร็ว และยังครอบคลุมข่าวในหลายๆแขนง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้จากเว็บข่าวนี้คือ ความมีอคติ (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโดนพันธมิตรล้างสมองรึเปล่านะ) ข้อแสดงความคิดเห็นหลายข้อบ่งบอกถึงความมีอคติ อิจฉา ริษยา รังเกียจ เรียกได้ว่าเป็นด้านมืดของมนุษย์แบบสุดๆเลย การแสดงข้อโต้แย้งแบบมีเหตุมีผล มักจะถูกตอบโต้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ยิ่งไปกว่านั้น ข้อคิดเห็นที่โต้แย้งกับทางเว็บ (หรือพันธมิตรฯ) จะไม่ได้รับความเห็นชอบให้ขึ้นเว็บด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ เรื่องแบบนี้จริงๆแล้วถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะคนจำนวนมากเข้ามาอ่านข่าว อ่านความคิดเห็น แต่ได้เห็นเพียงด้านเดียวของเนื้อหา หรือด้านเดียวของความคิด ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับระบอบสังคมนิยมหรือเผด็จการเลย การแสดงออกทางความคิดที่ถูกปิดกั้นแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าาเราถูกริดรอนสิทธิหรือเปล่า

ผมยกตัวอย่างเว็บนี้เพราะเป็นเว็บที่ผมอ่านเป็นประจำ แต่ความตั้งใจของผมหมายรวมถึงเว็บอื่นๆที่มีการปฏิบัติในรูปแบบเดียวกันทั้งหมดด้วย